การไหลลงของอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรในตลาดนั้นเกิดได้หลายปัจจัย ปัจจัยแรกคือการแห่ซื้อตราสารหนี้ ซึ่งเมื่อราคาตราสารหนี้แพงขึ้น ผลตอบแทนที่เราจะได้รับเมื่อคำนวณย้อนกลับมา จะคิดเป็น Yield หรืออัตราผลตอบแทนที่ลดลง (เวลามีส่วนด้วยนะครับ) และปัจจัยที่สองคือการปรับลดหรือขึ้นอัตราดอกเบี้ย ในสถานการณ์แบบนี้ถ้ากล่าวง่ายๆ คือ ตราสารหนี้หรือพันธบัตรรัฐบาลที่เราถือ มีราคาแพงขึ้น ในทางทฤษฎีก็นับว่าเรามีกำไรครับ (ที่ต้องกล่าวว่าในทางทฤษฎี เพราะถ้าท่านขายต่ำกว่าราคาที่ควรจะเป็น แบบพอใจจะขาย ก็อาจจะไม่เป็นไปตามราคานั้นครับ) อย่างไรก็ตาม หากมีการลดอันดับเครดิตเรตติ้ง หรือลดอันดับความน่าเชื่อถือ (เช่น Baa1 -> Baa2 หรือ BBB+ สู่ BBB แล้วแต่ค่าย) อันนี้ถือว่าเป็นความเสี่ยงมากกว่า ซึ่งในไทยสถานการณ์นี้เคยเจอมาแล้วช่วงปี 2540 ที่ไทยเจอวิกฤติเศรษฐกิจอย่างหนัก โดยทางทฤษฎีแล้ว อันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) นั้นมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับอัตราดอกเบี้ยที่จะเป็นต้นทุนทางการเงิน (Cost of Capital) สำหรับเศรษฐกิจทั้งการกู้ยืมส่วนบุคคลและธุรกิจครับ หากความน่าเชื่อถือต่ำ อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมก็จะสูง ขณะที่ความเชื่อถือสูง อัตราดอกเบี้ยกู้จะต่ำลงชดเชยความเสี่ยงที่ต่ำลง ตัวอย่างเช่น บริษัทที่จ่ายเงินได้สม่ำเสมอ กู้หนี้ยืมสินมาแล้วจ่ายคืนตรงเวลาโดยตลอด มีกระแสเงินสดรับเข้าและรายได้ที่แน่นอน ก็จะได้เครดิตเรทติ้งที่สูง ขณะที่บริษัทน้องใหม่จะมากู้ แต่รายได้ยังไม่แน่นอน ก็จะต้องเสียดอกเบี้ยที่สูงขึ้นชดเชยกับความเสี่ยงที่จะจ่ายเงินไม่ได้นั่นเอง หรือถ้ามองอีกแบบ สมมติเพื่อนเรานาง A มาขอยืมเงิน ที่ผ่านมาจ่ายตรงเวลาตลอด เราก็ให้ยืมง่าย แต่อีกคนนาย B จ่ายไม่ตรงเวลา เราก็อาจจะไม่อยากให้ยืม หรือถ้าจะให้ยืมก็ต้องเรียกดอกเบี้ยเพิ่มเติมนั่นเองครับ หากเพื่อนเราคนหนึ่งยืมเราไปแล้วแรกๆ ก็จ่ายได้ดี แต่ต่อมาสถานการณ์ที่บ้านเขาแย่ลง เช่น ธุรกิจอาจแย่ลง ต่อให้เขายังจ่ายเงินได้ แต่เราก็เริ่มหนาวๆ ร้อนๆ ไม่ไว้ใจแล้วใช่ไหมครับ? ในสถานการณ์แบบนี้ถ้าเพื่อนเราจะยืมเงินเราต่อ เราอาจจะต้องเรียกดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น ชดเชยกับความเสี่ยงที่จะเบี้ยวครับ ซึ่งถ้าเราจัดลำดับเพื่อนที่ยืมเงินเราอย่างไร บริษัทหรือประเทศก็เป็นแบบนั้นครับ ซึ่งการจัดอันดับก็มาจากบริษัทจัดลำดับเครดิตเรทติ้ง (Credit Rating Agency) ที่มีทั้งในระดับสากลและภายในประเทศ การเพิ่มหรือลดเรตติ้งจึงมีผลทำให้ดอกเบี้ยเพิ่มหรือลดลงได้ด้วย ในกรณีที่เป็นการปรับลงก็ต้องเพิ่มดอกเบี้ยไปโดยปริยาย ซึ่งหากเป็นการออกพันธบัตรหรือหุ้นกู้ชุดใหม่ ก็ต้องเพิ่มดอกเบี้ยจ่ายหู้ให้กู้ (นักลงทุนที่ไปซื้อนั่นแหละครับ) ส่วนถ้าเป็นตราสารหนี้ที่มีแล้วในตลาดซึ่งผลตอบแทนเปลี่ยนไม่ได้ (ยกเว้นจะระบุไว้เป็นอย่างอื่นในเงื่อนไขนะครับ) ก็จะเกิดการปรับตัวขึ้นของผลตอบแทนในตลาด เพราะความน่าเชื่อถือลดลง ความเสี่ยงเพิ่มขึ้น (ส่วนหนึ่งก็มาจากแรงเทขายเวลานักลงทุนตกใจด้วยครับ) ในรอบนี้ที่หลายๆ คนกังวล เพราะการปรับเป็น Baa1 Negative ท่ามกลางเศรษฐกิจไทยที่มีปัญหา สุ่มเสี่ยงเสียเหลือเกินที่ไทยจะโดนปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือลง นั่นก็ตามมาด้วยความเสี่ยงที่จะมีผลกระทบทั้งต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้น รวมถึงราคาตราสารหนี้บ้านเราที่จะลดลง กระทบต่อผู้ลงทุนที่ต้องรับผลขาดทุนจากราคาตราสารหนี้ด้วย ซึ่งเป็นผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นได้หากเกิดขึ้นจริง ดังนั้นการปรับแค่มุมมอง ด้วยข้อมูลในอดีตแล้ว ไม่ควรจะมีปัญหาอะไรเกิดขึ้น แต่ถ้ามีการปรับเรทติ้งหรือถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือลง ซึ่งครั้งนี้เป็นครั้งที้ใกล้กับการปรับเรทติ้งลดลงด้วยปัจจัยทางเศรษฐกิจที่อ่อนแอ และเป็นเรื่องหนาวๆ ร้อนๆ กันทั้งตลาดที่ต้องติดตามกันต่อไปครับ โดย ภัทรนันท์ ธนียวัน ลิ้มอุดมพร Investment Research and Strategy
|