ปรับลดเครดิตพินิจของไทย กระทบหรือไม่กับการลงทุน?




ช่วงปลายเดือนที่ผ่านมา หลายๆ ท่านคงเห็นข่าวเรื่องที่ Moody’s ปรับลดเครดิตพินิจ หรือ มุมมองอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Outlook) ของไทยลดลงจากมีเสถียรภาพ สู่เชิงลบ (Stable ไป Negative) แต่ยังคงอันดับความน่าเชื่อถือเอาไว้ที่เดิม (Baa1) ซึ่งส่งแรงกระเพื่อมไปทั้งประเทศรวมถึงภาครัฐบาลด้วยที่ต้องออกมาให้สัมภาษณ์กันว่ารัฐบาลยังไม่มีความกังวลในมิติดังกล่าว ส่วนนักลงทุนเองก็กังวลใจว่าตกลงแล้วผลกระทบที่เกิดขึ้นจะเป็นอย่างไรบ้าง

อันที่จริงแล้ว ต้องเรียนท่านผู้อ่านว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นน่าจะอยู่ในข่ายเฝ้าระวังมากกว่าที่เราจะตื่นตระหนกตกใจ เพราะมุมมองด้านความน่าเชื่อถือนั้นสามารถเปลี่ยนไปมาได้ตามสภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งเหตุผลของ Moody’s เองนั้นก็มีน้ำหนัก ทั้งปัจจัยเศรษฐกิจภายในประเทศที่อ่อนแอ และปัจจัยภายนอกคือกรณีสงครามการค้าที่ขึ้นกำแพงภาษีศุลกากรสินค้าไทยที่ 37% และปัจจัยเศรษฐกิจโลกที่ IMF ชี้ว่าแนวโน้มปีนี้ชะลอตัว ก็ทำให้เศรษฐกิจไทยที่พึ่งพาการส่งออกเป็นการขับเคลื่อน อยู่ในสถานการณ์ที่เปราะบาง

ยังไม่ต้องนับว่าระยะหลังเอง ไทยก็เจอการส่งออกเงินฝืดจากจีนในรูปแบบของสินค้าราคาถูก ไปจนถึงการที่นักท่องเที่ยวจีนไม่กลับมาเยือนไทยเหมือนเช่นเคย และจีนที่เป็นตลาดส่งออกสินค้าของไทยที่สำคัญ ก็ชะลอตัวจากการบริโภคในประเทศที่หดหาย เพราะวิกฤติหนี้เสียในภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีนทำให้ความมั่งคั่งของคนจีนที่เคยูกติดกับภาคอสังหาริมทรัพย์หายไปด้วย ผลที่ได้คือคนไม่ใช่จ่าย เก็บเงิน ซื้อทองคำตุนเอาไว้ ไม่มาท่องเที่ยวในไทย (สำหรับกลุ่มคนรายได้ปานกลาง) กลายเป็นวงจรเศรษฐกิจในทางลบ (negative feedback loop) ไป ที่ส่งผลกระทบกับไทยตรงๆ

สภาพเศรษฐกิจแบบนี้ ยังไงก็คงเลี่ยงไม่ได้ที่บริษัทเหล่านี้จะต้องปรับมุมมองเครดิตพินิจหรือมุมมองต่อความน่าเชื่อถือของเราครับ

แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ แล้วตลาดตราสารหนี้ที่มีผลโดยตรงนั้นมองอย่างไรบ้าง จากการพิจารณาจากข้อมูลในอดีตนับตั้งแต่ปี 2000 และตัดมาเฉพาะเหตุการณ์ปรับมุมมองความน่าเชื่อถือลดลง ช่วง 30, 14 และ 7 วันปฏิทินทั้งก่อนหน้าและหลังจากเหตุการณ์ปรับมุมมองเครดิตเรทติ้งของไทยนั้น ปรากฎว่าอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลไทยทั้งอายุ 2, 5 และ 10 ปี ไหลลงโดยตลอดครับ





การไหลลงของอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรในตลาดนั้นเกิดได้หลายปัจจัย ปัจจัยแรกคือการแห่ซื้อตราสารหนี้ ซึ่งเมื่อราคาตราสารหนี้แพงขึ้น ผลตอบแทนที่เราจะได้รับเมื่อคำนวณย้อนกลับมา จะคิดเป็น Yield หรืออัตราผลตอบแทนที่ลดลง (เวลามีส่วนด้วยนะครับ) และปัจจัยที่สองคือการปรับลดหรือขึ้นอัตราดอกเบี้ย ในสถานการณ์แบบนี้ถ้ากล่าวง่ายๆ คือ ตราสารหนี้หรือพันธบัตรรัฐบาลที่เราถือ มีราคาแพงขึ้น ในทางทฤษฎีก็นับว่าเรามีกำไรครับ (ที่ต้องกล่าวว่าในทางทฤษฎี เพราะถ้าท่านขายต่ำกว่าราคาที่ควรจะเป็น แบบพอใจจะขาย ก็อาจจะไม่เป็นไปตามราคานั้นครับ)

อย่างไรก็ตาม หากมีการลดอันดับเครดิตเรตติ้ง หรือลดอันดับความน่าเชื่อถือ (เช่น Baa1 -> Baa2 หรือ BBB+ สู่ BBB แล้วแต่ค่าย) อันนี้ถือว่าเป็นความเสี่ยงมากกว่า ซึ่งในไทยสถานการณ์นี้เคยเจอมาแล้วช่วงปี 2540 ที่ไทยเจอวิกฤติเศรษฐกิจอย่างหนัก

โดยทางทฤษฎีแล้ว อันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) นั้นมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับอัตราดอกเบี้ยที่จะเป็นต้นทุนทางการเงิน (Cost of Capital) สำหรับเศรษฐกิจทั้งการกู้ยืมส่วนบุคคลและธุรกิจครับ หากความน่าเชื่อถือต่ำ อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมก็จะสูง ขณะที่ความเชื่อถือสูง อัตราดอกเบี้ยกู้จะต่ำลงชดเชยความเสี่ยงที่ต่ำลง ตัวอย่างเช่น บริษัทที่จ่ายเงินได้สม่ำเสมอ กู้หนี้ยืมสินมาแล้วจ่ายคืนตรงเวลาโดยตลอด มีกระแสเงินสดรับเข้าและรายได้ที่แน่นอน ก็จะได้เครดิตเรทติ้งที่สูง ขณะที่บริษัทน้องใหม่จะมากู้ แต่รายได้ยังไม่แน่นอน ก็จะต้องเสียดอกเบี้ยที่สูงขึ้นชดเชยกับความเสี่ยงที่จะจ่ายเงินไม่ได้นั่นเอง หรือถ้ามองอีกแบบ สมมติเพื่อนเรานาง A มาขอยืมเงิน ที่ผ่านมาจ่ายตรงเวลาตลอด เราก็ให้ยืมง่าย แต่อีกคนนาย B จ่ายไม่ตรงเวลา เราก็อาจจะไม่อยากให้ยืม หรือถ้าจะให้ยืมก็ต้องเรียกดอกเบี้ยเพิ่มเติมนั่นเองครับ

หากเพื่อนเราคนหนึ่งยืมเราไปแล้วแรกๆ ก็จ่ายได้ดี แต่ต่อมาสถานการณ์ที่บ้านเขาแย่ลง เช่น ธุรกิจอาจแย่ลง ต่อให้เขายังจ่ายเงินได้ แต่เราก็เริ่มหนาวๆ ร้อนๆ ไม่ไว้ใจแล้วใช่ไหมครับ? ในสถานการณ์แบบนี้ถ้าเพื่อนเราจะยืมเงินเราต่อ เราอาจจะต้องเรียกดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น ชดเชยกับความเสี่ยงที่จะเบี้ยวครับ ซึ่งถ้าเราจัดลำดับเพื่อนที่ยืมเงินเราอย่างไร บริษัทหรือประเทศก็เป็นแบบนั้นครับ ซึ่งการจัดอันดับก็มาจากบริษัทจัดลำดับเครดิตเรทติ้ง (Credit Rating Agency) ที่มีทั้งในระดับสากลและภายในประเทศ

การเพิ่มหรือลดเรตติ้งจึงมีผลทำให้ดอกเบี้ยเพิ่มหรือลดลงได้ด้วย ในกรณีที่เป็นการปรับลงก็ต้องเพิ่มดอกเบี้ยไปโดยปริยาย ซึ่งหากเป็นการออกพันธบัตรหรือหุ้นกู้ชุดใหม่ ก็ต้องเพิ่มดอกเบี้ยจ่ายหู้ให้กู้ (นักลงทุนที่ไปซื้อนั่นแหละครับ) ส่วนถ้าเป็นตราสารหนี้ที่มีแล้วในตลาดซึ่งผลตอบแทนเปลี่ยนไม่ได้ (ยกเว้นจะระบุไว้เป็นอย่างอื่นในเงื่อนไขนะครับ) ก็จะเกิดการปรับตัวขึ้นของผลตอบแทนในตลาด เพราะความน่าเชื่อถือลดลง ความเสี่ยงเพิ่มขึ้น (ส่วนหนึ่งก็มาจากแรงเทขายเวลานักลงทุนตกใจด้วยครับ)

ในรอบนี้ที่หลายๆ คนกังวล เพราะการปรับเป็น Baa1 Negative ท่ามกลางเศรษฐกิจไทยที่มีปัญหา สุ่มเสี่ยงเสียเหลือเกินที่ไทยจะโดนปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือลง นั่นก็ตามมาด้วยความเสี่ยงที่จะมีผลกระทบทั้งต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้น รวมถึงราคาตราสารหนี้บ้านเราที่จะลดลง กระทบต่อผู้ลงทุนที่ต้องรับผลขาดทุนจากราคาตราสารหนี้ด้วย ซึ่งเป็นผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นได้หากเกิดขึ้นจริง

ดังนั้นการปรับแค่มุมมอง ด้วยข้อมูลในอดีตแล้ว ไม่ควรจะมีปัญหาอะไรเกิดขึ้น แต่ถ้ามีการปรับเรทติ้งหรือถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือลง ซึ่งครั้งนี้เป็นครั้งที้ใกล้กับการปรับเรทติ้งลดลงด้วยปัจจัยทางเศรษฐกิจที่อ่อนแอ และเป็นเรื่องหนาวๆ ร้อนๆ กันทั้งตลาดที่ต้องติดตามกันต่อไปครับ

โดย ภัทรนันท์ ธนียวัน ลิ้มอุดมพร
Investment Research and Strategy