XAM Daily 04 Oct 2023


ภาพรวมตลาด

Sell-Off (VIX Index พุ่งสูงขึ้น)

แนวโน้มตลาดวันนี้

  •  แนวโน้มตลาดหุ้นเอเชียคาดวันนี้แกว่งตัวในโซนลบ โดยดัชนีหุ้นออสเตรเลีย และ NIKKEI 225 เปิดลบกว่า -0.7% และ -1.7% (9.10 เวลาไทย) แรงกดดันจาก Global Sentiment รวมถึงการที่ US 10Y Bond Yield ยังเร่งตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง เงินลงทุนยังไหลออกจาก EM/Asia ต่อเนื่อง
  • ฟิวเจอร์สตลาดหุ้นสหรัฐอยู่ในทิศทางลบ (ตอน 9.11 ตามเวลาไทย) มองเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนสายสวน (Contrarian) โดยเฉพาะในกลุ่มหุ้น Small-Cap Growth Stock มองปัจจัยยีลด์เร่งตัว, Government Shut-down จะยังกดดันบรรยากาศการลงทุนในหุ้นสหรัฐและหุ้นทั่วโลกในระยะสั้น รอติดตามตัวเลขการจ้างงานภาคเอกชนในคืนนี้และเงินเฟ้อค่าจ้างรายชั่วโมงในคืนวันศุกร์ถ้าออกมาใกล้ๆกับคาดการณ์และยีลด์พันธบัตรสหรัฐเริ่มทรงตัวและปรับตัวลงเล็กน้อย คาดว่าหุ้นเติบโตจะฟื้นตัวได้ดี

Daily Focus

  • ตัวเลขเปิดรับสมัครงานและอัตราหมุนเวียนแรงงานสหรัฐ (JOLTS) ออกมาที่ 9.61 ล้านตำแหน่ง (Exp. 8.8 ล้านตำแหน่ง) สะท้อนตลาดงานสหรัฐยังแข็งแกร่งกว่าคาดมาก ตลาดเลยเทขายเพราะยีลด์พันธบัตรสหรัฐเร่งตัวขึ้นต่อเนื่อง
- 2 ใน 7 ของหุ้น US Giants-Cap Growth อย่าง Amazon -3.6% และ Microsoft -2.6% จากปัจจัยเฉพาะตัว ความกังวลการตรวจการผูกขาดในธุรกิจคลาวด์คอมพิวติงของอังกฤษ 
  • หุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคยุโรปปรับตัวลง -2.7% แรงกว่าดัชนี ซึ่งแรงกดดันหลักจากเรื่องยีลด์พันธบัตรประเทศพัฒนาแล้วเร่งตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งหุ้นใหญ่ในกองทุน Green Energy อย่างออร์สเต็ด (ธุรกิจพลังงานลม) -6% แม้ Valuation จะปรับตัวลงจาก 2 ปีก่อนแต่ราคาก็ยังสูง ทำให้ยังไม่ได้น่าสนใจโดยเปรียบเทียบกับหุ้นกลุ่มอื่นที่พอมีโอกาสฟื้นตัวในระยะสั้น
  • ญี่ปุ่นเตรียมอัดฉีดเงินอุดหนุนเพิ่มเติม 192,000 ล้านเยนให้กับไมครอน เทคโนโลยี ซึ่งไมครอนเองมีแผนจะลงทุนในญี่ปุ่นสูงถึง 5 แสนล้านเยนในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า รวมถึงจะเป็นเจ้าแรกที่ใช้รังสีอัลตราไวโอเลตขั้นสูง (EUV) ในญี่ปุ่น ซึ่งญี่ปุ่นก็สนับสนุน TSMC สูงถึง 476,000 ล้านเยนเช่นกัน เพื่อให้ญี่ปุ่นมีความแข็งแกร่งในอุตสาหกรรมชิป ซึ่งจะเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้ญี่ปุ่นในระยะยาว
  • ประเด็นสงครามเทคโนโลยีสหรัฐ-จีน-ไต้หวันมีความตึงเครียดมากขึ้น หลังบริษัท Topco Scientific, L&K Engineering, United Integrated Services และ Cica-Huntek Chemical ซึ่งเป็นบริษัทไต้หวันมีโอกาสเกี่ยวข้องกับการสร้างโรงงานผลิตชิปให้กับหัวเหว่ยซึ่งถูกทางการสหรัฐขึ้นบัญชีดำ รวมถึงสหรัฐเตรียมออกมาตรการคุมการส่งออกชิปฉบับใหม่ คาดว่าจะเพิ่มความเข้มงวดในการจำกัดการเข้าถึงเครื่องมือในการผลิตชิป เพื่อให้เป็นไปในทิศทางเดียวกับมาตรการใหม่ของเนเธอร์แลนด์และญี่ปุ่น และจะปิดช่องโหว่บางส่วนที่อยู่ในมาตรการควบคุมการส่งออกชิป AI ในเดือน ต.ค. นี้
  • แม้หุ้นอสังหายักษ์ใหญ่จีนจะกลับมาซื้อขายได้ในสัปดาห์นี้ แต่หุ้นจีนยังมีหลายปัจจัยกดดันเพิ่มเติมทั้งยีลด์สหรัฐเร่งตัวสูงขึ้นกดดันทุกสินทรัพย์ในภูมิภาคตลาดเกิดใหม่ (EM) รวมถึงการที่หุ้นจีนมีคนรอขายขาดทุนเกือบทุกช่วงราคาเพราะตลาดเป็นขาลงมาเกิน 2 ปีครึ่ง และยังมีความเสี่ยงกฏหมายควบคุมส่งออกชิป 2.0 จากสหรัฐมากดดัน Catalyst เชิงลบต่อหุ้นจีนอีก ซึ่งคาดว่าหุ้น H-Shares จะผันผวนสุดเพราะต่างชาติลงทุนมากที่สุด โดยตลาดหุ้นจีนปิดทำการตั้งแต่วันที่ 29 ก.ย. จนถึงวันที่ 6 ต.ค. 2023 ก่อนจะกลับมาเทรดอีกครั้งสัปดาห์หน้า
  • การจัดส่งน้ำมันของรัสเซียไปยังอินเดียเพิ่มขึ้น 15% ในเดือนก.ย. เพราะน้ำมันจากรัสเซียถูกกว่า ซึ่งช่วยจำกัดผลกระทบต่อเศรษฐกิจอินเดีย เพราะปกติยามราคาน้ำมันอยู่ในโซนสูง หุ้นอินเดียจะน่าสนใจน้อยลงในระยะสั้นถึงระยะกลาง แต่ปีนี้หุ้นอินเดียได้สามลมหนุน ทั้งเรื่องการนำเข้าน้ำมันจากรัสเซีย การเพิ่มการลงทุนทางตรงในอุตสาหกรรมขั้นสูงในอินเดียเพื่อกระจายความเสี่ยงออกจากจีน รวมถึงความน่าสนใจของหุ้นอินเดียโดยเปรียบเทียบกับจีนและหลายประเทศใน EM
  • แม้แบงค์ชาติอินโดนีเซียตรึงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับสูงสุดในรอบ 4 ปีที่ 5.75% แต่ค่าเงินก็ยังอ่อนค่าตามทิศทางหลักที่เงินไหลไปสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐเช่นเดียวกับเงินบาท
  • หุ้นไทยปิดหลุดราคาสำคัญทางจิตวิทยาที่ 1,461 ในสัปดาห์นี้ ค่าเงินบาทปรับตัวอ่อนค่าทำสถิติใหม่ต่อเนื่อง ส่งผลให้ความคาดหวังว่าต่างชาติจะกลับมาซื้อลดลง หุ้นใหญ่ยังถูกเทขายต่อเนื่อง หุ้นพลังงานปรับตัวลงตามราคาน้ำมัน หุ้น Delta ที่ปรับตัวลงในวันศุกร์ที่แล้วมีนัยยะสำคัญต้องหุ้นไทยกว่า 20 จุด ทำให้ภาพรวมเซ็นติเมนต์หุ้นไทยยังไม่น่าสนใจทั้งปัจจัย Fund-Flow รวมถึงการที่ไม่ได้ดูน่าสนใจโดยเปรียบเทียบกับหุ้น EM ประเทศอื่น คาดหุ้นไทยถ้าจะกลับมาดีต้องบนความคาดหวังกำไรต่อหุ้นปี 2024 ไปแล้ว รวมถึงเงินลงทุนไหลกลับมาฝั่ง EM ซึ่งคาดจะเกิดหลังเรตสหรัฐและดอลลาร์สหรัฐพีคไปแล้ว

กลยุทธ์การลงทุน

  • Overweight หุ้นไทย Mid-Small Cap Stock มีโอกาสสำหรับกองทุนที่เลือกหุ้น Super Stock ที่มีโอกาสการเติบโตที่ดีในระยะกลาง
  • Overweight หุ้นเอเชียมากกว่ากลุ่มประเทศพัฒนาแล้วสำหรับการลงทุนในระยะกลาง หากดอลลาร์เริ่มกลับมาอ่อนค่า คาดสนับสนุนหุ้น Growth ภูมิภาคตลาดเกิดใหม่ (EM)
  • Overweight หุ้นอินเดียเห็นแนวโน้มราคาปรับตัวขึ้นได้ดี
  • Overweight หุ้นสหรัฐ Small Cap Growth มีโอกาสฟื้นตัว
  • Slightly Overweight หุ้น Semiconductor ทยอยสะสมลงทุน
  • Slightly Overweight หุ้น Large-Cap Growth สหรัฐมีโอกาสสะสมลงทุนในระยะกลาง หลังราคาปรับตัวลงมาในช่วงก่อนหน้านี้

คำแนะนำ

  • KFHASIA, M-EM Asia/EM Tech
  • ASP-NGF, TMBJPNAE หุ้นญี่ปุ่น
  • TMBINDAE, SCBKEQTG อินเดีย & เกาหลีใต้
  • SCBPGF หุ้นโลก Value, UGD หุ้นกลางเล็ก Durable
  • K-GHEALTH หุ้น Healthcare, ONE-HOSPITAL หุ้นไทยและหุ้นโลก Healthcare
  • ABAGS หุ้นขนาดกลางเล็กสหรัฐ Blended Character
  • ASP-SME, ABSM, ASP-T12, M-MIDSMALL, TLMSEQ เป็นกองหุ้นไทย Alpha 
  • SCBUSAA รับ 4.6 บาท, KF-US รับ 11.2 บาท, SCBROBOA รับ 13.4 บาท
  • เก็งกำไร M-META ที่ราคา METV ETF 9.3-9.5$ , TMB-ES-GINNO ที่ราคา ARKK ETF 38-40$ และ LHSEMI ที่ราคา SOXX ETF 450-470$

XSpring AM

Source: Bloomberg, Reuter