Things you need to know
- 1. “ตลาดหุ้นสหรัฐฯ พุ่งขึ้น หลังทรัมป์เปลี่ยนท่าที” เมื่อคืนนี้ดัชนี S&P 500 ของสหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้น +2.03% มาอยู่ที่ 5,484.77 จุด สาเหตุสำคัญมาจากท่าทีของทรัมป์เกี่ยวกับสงครามการค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับจีนที่มีท่าทีอ่อนลง ตลาดตอบรับท่าทีดังกล่าวเป็นบวกและทำให้สินทรัพย์เสี่ยงได้รับความสนใจอีกครั้ง ส่วนราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่ 1.87% มาอยู่ที่ 3,348.91 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี อยู่ที่ 4.32% ไม่มีการเปลี่ยนแปลง หลังจากตลาดประเมินว่า FED อาจลดอกเบี้ยหากการจ้างงานในสหรัฐฯ เริ่มอ่อนแอ
- 2. “สมาชิก FED/FOMC ส่งสัญญาณหนุนลดดอกเบี้ย หากการจ้างงานมีปัญหา” เมื่อคืนนี้ Christopher Waller หนึ่งในผู้ว่าการของ FED ออกมาส่งสัญญาณสนับสนุนการลดดอกเบี้ยลง หากการจ้างงานของสหรัฐฯ มีปัญหาเนื่องจากสงครามการค้าและกำแพงภาษีที่อยู่ในระดับสูง ด้าน Beth Hammak ประธาน FED สาขา Cleveland ระบุว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ สามารถลดดอกเบี้ยได้ตั้งแต่เดือนมิถุนายนนี้ หากทิศทางเศรษฐกิจของประเทศเริ่มชัดเจน ท่าทีดังกล่าวทำให้ตลาดเริ่มเห็นความหวังของการลดดอกเบี้ยอีกครั้งหนึ่งในปีนี้
- 3. “เงินเฟ้อกรุงโตเกียวออกมาสูงกว่าคาด ตลาดประเมิน BOJ ขึ้นดอกเบี้ย” โดยอัตราเงินเฟ้อไม่รวมอาหารสดของกรุงโตเกียวที่มักบ่งชี้เงินเฟ้อโดยรวมทั้งประเทศอยู่ที่ 3.4% YoY ในเดือนเมษายน เพิ่มขึ้นเร็วที่สุดในรอบสองปี และสูงกว่าคาดของตลาดที่ 3.2% YoY ส่วนเงินเฟ้อทั่วไปทั้งหมดอยู่ที่ 3.5% YoY ทำให้ตลาดประเมินว่า BOJ พร้อมที่จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยโดยต้องประเมินผลกระทบจากสงครามการค้าอีกครั้งหนึ่งก่อนตัดสินใจ
- 4. “รวมมิตรสงครามการค้า - ทรัมป์ระบุกำลังคุยกับจีน เตรียมบรรลุข้อตกลงกับเกาหลีใต้” เมื่อคืนนี้ทรัมป์ออกมาระบุว่ากำลังอยู่ระหว่างการหารือกับทางการจีนเกี่ยวกับสงครามการค้าที่กำลังเกิดขึ้นในตอนนี้หลังจากที่ทางการจีนออกมาปฏิเสธว่าไม่มีการหารือ ด้านรัฐมนตรีคลังของสหรัฐฯ ระบุว่าเตรียมบรรลุข้อตกลงทางการค้ากับเกาหลีใต้เร็วที่สุดภายในสัปดาห์หน้า และยังอยู่ระหว่างเจรจากับอินเดีย ด้านคณะผู้แทนเจรจาของญี่ปุ่นเดินทางเข้าพบกับประธานาธิบดีทรัมป์ที่ทำเนียบขาว เพื่อหารือเพิ่มเติม
- 5. “BlackRock เตือนตลาดตราสารหนี้เอกชนทั่วโลก กำลังอยู่ในความเสี่ยงเพิ่มขึ้น” สาเหตุสำคัญมาจากสงครามการค้าที่ทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกชะลอตัวลง และกระทบกับความสามารถในการทำกำไรของบริษัทเอกชนเหล่านี้ โดยประเมินว่าส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ย (Credit Spread) สำหรับบริษัทเหล่านี้มีโอกาสกว้างขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มตลาดตราสารหนี้อัตราดอกเบี้ยสูง (high yield, junk bond) ที่อาจกระโดดขึ้นไปถึง 500-600 bps (5-6%) สูงที่สุดในรอบ 3 ปี หากสงครามการค้ายังไม่จบ อย่างไรก็ตามยังมองว่าโอกาสผิดนัดชำระยังอยู่ในระดับที่ต่ำ โดยอาจอยู่ในระดับ 2-4% ภายใน 12 เดือนจากนี้
|
|