Things you need to know
- 1. “ตลาดหุ้นสหรัฐฯ สลัดความกังวล เดินหน้าทำจุดสูงสุดใหม่อีกครั้ง” ดัชนี S&P 500 ของสหรัฐฯ เมื่อคืนนี้ปิดปรับตัว +0.73% มาอยู่ที่ 6,345.06 จุด สาเหตุสำคัญคือหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีอย่าง Apple, Tesla, Broadcom ปรับตัวขึ้นมาแรง หลังจากทรัมป์ประกาศว่าจะขึ้นกำแพงภาษีสำหรับชิปนำเข้า 100% ยกเว้นบริษัทที่มีแผนกำลังจะย้ายฐานการผลิตกลับมายังสหรัฐฯ หรือมีการผลิตในสหรัฐอเมริกาแล้ว ภาษีส่วนนี้จะกลายเป็น 0% ทันที ทำให้บริษัทอย่าง Apple ได้ประโยชน์โดยตรง นอกจากนั้น Apple ยังประกาศแผนลงทุนในสหรัฐอเมริกาเพิ่มกว่า 1 แสนล้านดอลลาร์ด้วย
- 2. “ทรัมป์ระบุอินเดียโดนภาษีนำเข้าเป็น 50% ย้ำไม่พอใจที่ซื้อน้ำมันจากรัสเซีย” ทรัมป์ลงนามในคำสั่งเพิ่มกำแพงภาษีของอินเดียอีก 25% ทำให้กำแพงภาษีของอินเดียสุทธิเป็น 50% และจะมีผลบังคับใช้ในอีก 3 อาทิตย์ (21 วัน) นับจากนี้ สาเหตุสำคัญมาจากการซื้อน้ำมันจากรัสเซียที่สหรัฐอเมริกามองว่าเป็นการให้เงินทุนสนับสนุนกับรัสเซียในการทำสงครามกับยูเครน ด้านรัฐบาลอินเดียแสดงความไม่พอใจกับกำแพงภาษีดังกล่าว และระบุว่าพร้อมจะดำเนินการทุกวิถีทางเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของชาติ ทั้งนี้อินเดียส่งออกไปยังสหรัฐฯ เป็นลำดับต้นๆ ด้วยมูลค่ากว่า 8.74 หมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2024
- 3. “ตลาดตราสารหนี้ประเมิน FED ลดดอกเบี้ยลงภายในปีนี้” สำนักข่าว Bloomberg รวบรวมข้อมูลการเปิดสถานะซื้อขายตราสารอนุพันธ์อ้างอิงอัตราดอกเบี้ยข้ามคืนของสหรัฐฯ (SOFR) พบว่าตลาดกำลังประเมินว่า FED อาจลดดอกเบี้ยที่ราว 57 bps ในการประชุม FOMC รอบเดือนธันวาคมนี้ ด้านผลการสำรวจของลูกค้าสถาบันจาก J.P.Morgan เผยให้เห็นว่านักลงทุนสถาบันมีสถานการณ์ถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ สุทธิที่ 22%
- 4. “ตลาด Private Equity คึกคัก – Blackstone และ Apollo ปิดดีลซื้อเพิ่ม” Blackstone ประกาศบรรลุข้อตกลงซื้อกิจการ Enverus แพลตฟอร์มการวิเคราะห์ข้อมูลด้านพลังงานด้วยมูลค่ารวมกว่า 6 พันล้านดอลลาร์ ครอบคลุมถึงข้อมูลกว่า 95% ของผู้ผลิตพลังงานในสหรัฐฯ ด้าน Apollo ประกาศลงทุนใน Stream Data Centers บริษัทสร้างและดำเนินการศูนย์ข้อมูลรายสำคัญของสหรัฐอเมริกา โดยถือเป็นครั้งแรกของบริษัทที่ลงทุนในกิจการโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล
- 5. “S&P Global ออกรายงานเตือน การผิดนัดชำระหนี้ใน Private Credit เพิ่มขึ้นจนน่าตกใจ” รายงานดังกล่าวระบุว่าอัตราการผิดนัดชำระหนี้ในตลาด Private Credit ที่เลือกผิดนักชำระเป็นบางส่วนเทียบกับการผิดนัดชำระทั่วไป พุ่งเป็นอัตราส่วน 5 ต่อ 1 ในปีที่แล้ว ทั้งนี้ S&P Global ประเมินว่าอัตราการผิดนัดชำระหนี้ (รวม Selective Default หรือเลือกผิดนัดชำระหนี้บางชุด) อยู่ที่ราว 4% โดยหนึ่งในวิธีที่ใช้ในการเลี่ยงผิดนัดชำระหนี้คือการทำ PIK หรือใช้การจ่ายสิ่งอื่นแทนเป็นการจ่ายเงิน ทำให้กระทบกับผลตอบแทนที่นักลงทุนได้รับ
|
|